การนำเข้าส่งออกในภาวะสงคราม

3

สงครามใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด สงครามเกิดในจังหวะที่เรามักจะไม่คาดคิด และ สงครามสร้างและทำลายโอกาสในระดับที่ยิ่งใหญ่เสมอ มีผู้คนมากมายที่เตรียมพร้อมและได้ประโยชน์ มีผู้คนมากมายที่ไม่ทำอะไรเลยและสูญเสียโอกาสไปจนถึงพังทลาย

บทความนี้เขียนขึ้นโดยหวังว่ามันจะชักนำโอกาสอะไรบางอย่างมาถึงมือทั้งผู้เขียนและผู้อ่านได้บ้าง ไม่มากก็น้อย…

จุดเริ่มต้นของสงคราม คือการแย่งชิงอำนาจและการปรับสมดุลตามธรรมชาติของสังคม การสรรหาจ่าฝูง ผู้นำ เกิดขึ้นอยู่เสมอ และ 3 ใน 4 ครั้ง มักจะตัดสินกันด้วยความขัดแย้งที่รุนแรง

ในอดีตที่ผ่านมาเรามีสงครามระดับทวีปมากมาย โดยเฉพาะในยุโรป มีการรุกรานเพื่อแย่งชิงความเป็นผู้นำ ซึ่งเกิดจากผู้ตามที่สามารถตามผู้นำได้ไวจนเกิดเป็นภัยคุกคาม เกิดจากการที่ไม่มีผู้นำที่แท้จริงจึงเกิดมีผู้ที่อยากท้าทายสมดุลอำนาจที่เป็นอยู่ หรือแม้กระทั่งการลุกขึ้นมาสู้ของผู้โดนกดขี่

ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เกิดจากการแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ในภูมิภาค ความเห็นที่ไม่ลงรอย ในจุดเล็ก ๆ และเริ่มลุกลามเข้าสู่สงครามโลก

ในตอนนั้นทุกชาติมักมีลักษณะชาตินิยม ต่างคิดว่าชาติตัวเองแข็งแกร่งและเป็นใหญ่เหนือชาติอื่น ๆ โดยเฉพาะชาติที่เป็นเจ้าอาณานิคมทั้งหลาย เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และชาติที่มีวิทยาการและกำลังรบไม่แพ้กัน เช่น ออสเตรีย-ฮังการี เยอรมัน

หากเทียบเหตุการณ์ในปัจจุบันก็จะเหมือนที่ ดอนัล ทรัมป์ กำลังพยายามปลุกความเป็นชาตินิยมคร่ำครึขึ้นมาบนโลกที่มนุษย์ 70% บนโลกสามารถเป็นเพื่อนกันได้ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มอันหลากหลาย และเหตุการณ์ปลุกความเป็นชาตินิยมมากขึ้นของทุกประเทศบนโลกนี้เพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองที่ถ้าไม่ทำให้แตกแยกอีกครั้งจะไม่เหลือใครให้ปกครองอีกต่อไป

ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดจากการโดนสูบเลือดเนื้อบนซากปรักหักพังของเยอรมันผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้เกิดมติเอกฉันท์จากคนทั้งชาติให้ลุกขึ้นมาสู้

ร่ายยาวและเกริ่นถึงเหตุมาพอสมควร เรามาดูกันว่าในเหตุการณ์สงครามนั้นมีความเสี่ยงอะไรบ้าง

อย่างแรกนั้นแน่นอนว่ามีการปิดกั้นการค้าระหว่างประเทศคู่ตรงข้าม และเกิดลัทธิชาตินิยมขึ้น การแบนสินค้าจึงเป็นเรื่องปกติ หากเรามีการนำเข้าส่งออกสินค้าจากประเทศที่ไม่ถูกกันเราก็จะโดนกดดันจากทั้งสองฝั่ง และอาจจะต้องเลือกข้างเมื่อสุดทางจะลู่ลมไปกับทั้งสองฝั่ง การเตรียมการเพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางธุรกิจจึงเป็น bad case scenario ที่ต้องเตรียมไว้

เรื่องสำคัญอย่างต่อมาคงไม่พ้นต้นทุนในการทำธุรกิจ เมื่อความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากการขนส่งสินค้าหรือต้นทุนในการจัดซื้อสินค้าก็ตาม สามารถทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ ล้มเลิกกิจการได้ภายในเวลาแค่ไม่กี่สิบวันเท่านั้น

ในสมัยสงครามโลกมีการโจมตีเรือสินค้าฝั่งตรงข้าม เช่น เยอรมันใช้เรือดำน้ำ U-BOAT จมเรือสินค้าจำนวนมาก จนเป็นเหตุให้อเมริกาตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นเหตุให้เยอรมันพ่ายแพ้ในที่สุด

ในสงครามครั้งนั้น ค่าเบี้ยประกันภัยขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเที่ยวเรือก็ถูกจำกัด จะมีกัปตันซักกี่คน เจ้าของสายเรือซักเท่าไหร่ อยากจะพาเรือตัวเองออกไปให้ตอปิโดยิง ค่าขนส่งที่ตอนนี้ก็แพงมากอยู่แล้ว ก็จะพุ่งไปได้เป็นอีก 10 เท่าเลยทีเดียว และแน่นอนว่าประกันภัยขนส่งสินค้าก็อาจจะไม่รับประกันอีกด้วย

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ การขนส่งน่าจะเร็วขึ้นมาก เพราะเวลาที่อยู่บนทะเลเปิดนานเท่าไหร่ ก็มีความเสี่ยงที่จะโดนลูกหลงมากเท่านั้น หากมีสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเราอาจจะได้เห็น Shenzhen-BKK 2 วันก็เป็นได้

และสิ่งต่อมา เรื่องการจ่ายชำระค่าสินค้าและค่าระวาง ช่วงนี้จะกลายเป็นช่วงวัดใจกันว่าใครคือเพื่อนแท้ในโลกธุรกิจ ค่าเงินจะผันผวนหนักตามความได้เปรียบเสียเปรียบของคู่สงคราม หากใครใกล้จะแพ้มีโอกาสที่ค่าเงินจะสะท้อนออกมาทันที สามารถใช้จุดนี้คาดเดาเพื่อวัดดวงอะไรได้บ้าง แนะนำให้เป็นลูกหนี้ธุรกิจฝั่งที่กำลังจะแพ้ไว้นะครับ ไม่ใช่ให้ใช้โอกาสนี้เชิดเงิน แต่ใช้โอกาสนี้ซื้อของราคาถูก

เงินเฟ้อขนาดหนัก เมื่อทุกอย่างมีต้นทุนสูงขึ้น เงินเฟ้อก็ขึ้นตาม ค่าระวางที่อาจจะขึ้นไปได้ตั้งแต่ 3-10 เท่า จะทำให้ค่าขนส่งแพงกว่าค่าสินค้า และเมื่อประเทศไทยใช้ราคา CIF ในการคำนวนภาษี ค่าภาษีก็จะทบเข้ามาอีกชั้น หากมองว่าจะเกิดสงครามแน่ ๆ ให้สต๊อกสินค้าให้เพียงพอกับที่จะขายได้เอาไว้ แต่ถ้าสินค้าเป็นของฟุ่มเฟือยก็อย่าไปสต๊อกเยอะนัก น่าจะขายไม่ออก

สำหรับ worse case scenario ก็คงจะไม่พ้นว่าประเทศเรากลายเป็นพื้นที่สงคราม ก็หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นนะครับ สำหรับการจัดการความเสี่ยงในเคสนี้ บอกได้แค่ “สู้ ๆ นะ” เพราะผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ไม่ได้รวยขนาดจะใช้เงินบินหนีออกไปอยู่นอกโซนสงคราม

สิ่งที่ผมอยากให้สังเกตุกันไว้คือ ดัชนีสันติภาพโลก (Global Peace Index – GPI) ปี 2024 ระบุว่าสันติภาพโลกอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนีมา และมี ความขัดแย้งระดับรัฐที่ดำเนินอยู่ถึง 59 แห่ง ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

ค่าใช้จ่ายทางทหารทั่วโลกสูงขึ้น 9 ปีติดต่อกัน แม้ประเทศไทยจะยังขัดแย้งเรื่องทหารแต่ผมเห็นด้วยที่ว่าควรปฏิรูปทหารไทย ไม่ให้มีการตั้งนายพลมั่วซั่ว เลิกให้ทหารยุ่งเกี่ยวการเมือง และเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารแต่เป็นการจ้างและสร้างเกียรติแบบ U.S. VETERAN ที่ไปไหนก็โคตรจะภูมิใจ

สุดท้ายนี้ สงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง กว่าประชาชนจะรู้ตัวว่าเป็นสงครามโลกก็เลยช่วงกลางสงครามแล้ว ถ้าจะมีครั้งที่ 3 ก็อาจจะเหมือนกันก็ได้ ขอให้ทุกคน “ไม่ตื่นตระหนก” หรือ “ไม่ไว้วางใจจนเกินไป” กันนะครับ

ปล. คนโง่บนโลกนี้มีเยอะมาก ผมและคุณก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น เพราะการจะเป็นคนโง่ได้ ต้องไม่รู้ตัวว่าตัวเองโง่

ขอให้ทุกท่านมีสติบนโลกที่ปั่นกันตลอดเวลาครับ