ในบรรดา Incoterms ทั้ง 11 เทอม ไม่มีเทอมใดที่แสดงถึงการให้บริการขั้นสูงสุดจากผู้ขายได้เท่ากับ DDP (Delivered Duty Paid) อีกแล้ว DDP คือเงื่อนไขการส่งมอบที่ผู้ขายต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่, ค่าใช้จ่าย, และความเสี่ยงทั้งหมดอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อส่งมอบสินค้าให้ถึงมือผู้ซื้อในสภาพที่พร้อมใช้งาน
เทอมนี้เปรียบเสมือน “บริการส่งถึงที่แบบรวมทุกอย่าง” ที่แท้จริง แต่ความสะดวกสบายสำหรับผู้ซื้อนี้ ก็แลกมากับความรับผิดชอบและความเสี่ยงมหาศาลสำหรับผู้ขาย บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นของเทอม DDP ว่าเหตุใดมันจึงเป็นเงื่อนไขที่มีความสุดขั้วที่สุด
DDP (Delivered Duty Paid) คืออะไร?
DDP (Delivered Duty Paid) คือเงื่อนไขการส่งมอบที่ ผู้ขาย มีหน้าที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงทั้งหมดในการนำสินค้าไปยังสถานที่ปลายทางที่ระบุไว้ โดยสินค้าได้ผ่าน พิธีการศุลกากรขาเข้าและชำระภาษีอากรนำเข้าเรียบร้อยแล้ว และถูกจัดเตรียมไว้บนยานพาหนะที่เดินทางมาถึง ในสภาพพร้อมให้ผู้ซื้อขนถ่ายลง
สรุปง่ายๆ คือ ผู้ขายทำทุกอย่าง ตั้งแต่การขนส่ง, การรับความเสี่ยง, การส่งออก, และที่สำคัญที่สุดคือ การนำเข้าและจ่ายภาษี ในประเทศของผู้ซื้อ ส่วนผู้ซื้อมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ “การขนของลง”
การแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบภายใต้เทอม DDP
หน้าที่ของผู้ขาย (Seller’s Obligations) – ภาระสูงสุด:
- จัดส่งและรับความเสี่ยงทั้งหมด: ทำสัญญา, จ่ายค่าขนส่ง, และรับความเสี่ยงภัยทั้งหมดตลอดเส้นทางจนกระทั่งสินค้าไปถึงสถานที่ปลายทางที่ระบุ
- ดำเนินพิธีการศุลกากรขาออก: รับผิดชอบและชำระค่าใช้จ่ายในการทำศุลกากรเพื่อการส่งออก
- ดำเนินพิธีการศุลกากรขาเข้า: รับผิดชอบในการยื่นเอกสารและดำเนินพิธีการนำเข้าในประเทศของผู้ซื้อ
- ชำระภาษีอากรนำเข้าทั้งหมด: รับผิดชอบค่าภาษีอากร, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT/GST), และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า
- ส่งมอบสินค้า: จัดเตรียมสินค้าไว้บนยานพาหนะที่ไปถึงปลายทาง พร้อมให้ผู้ซื้อขนถ่ายลง
หน้าที่ของผู้ซื้อ (Buyer’s Obligations) – ภาระน้อยที่สุด:
- ขนถ่ายสินค้าลง (Unloading): รับผิดชอบในการนำสินค้าลงจากยานพาหนะที่มาส่ง ณ สถานที่ปลายทาง
- รับมอบสินค้า: รับมอบสินค้า ณ จุดที่ตกลงกัน
DDP vs DAP: การจ่ายภาษีคือเส้นแบ่งสำคัญ
ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวระหว่าง DDP และ DAP คือ “ใครเป็นผู้ดำเนินพิธีการนำเข้าและจ่ายภาษี”
- DAP: ผู้ซื้อเป็นผู้นำเข้าและจ่ายภาษี
- DDP: ผู้ขายเป็นผู้นำเข้าและจ่ายภาษี
การที่ผู้ขายต้องทำหน้าที่เป็น “ผู้นำเข้า” (Importer of Record) ในประเทศของลูกค้านั้น เป็นภาระที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะต้องมีความเข้าใจในกฎหมายศุลกากร, พิกัดอัตราภาษี, และกฎระเบียบต่างๆ ของประเทศนั้นๆ เป็นอย่างดี
ตัวอย่างสถานการณ์การใช้เทอม DDP
ร้านค้าปลีกออนไลน์ในประเทศไทย สั่งซื้อเคสโทรศัพท์มือถือจำนวน 500 ชิ้น จากซัพพลายเออร์รายใหญ่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก ทั้งสองฝ่ายตกลงใช้เงื่อนไข DDP คลังสินค้าของผู้ซื้อ, จังหวัดนนทบุรี, ประเทศไทย
- ผู้ขาย (จีน):
- จัดการขนส่งและรับความเสี่ยงทั้งหมดตั้งแต่โรงงานในจีน, ทำพิธีการส่งออก, ขนส่งทางอากาศมายังกรุงเทพฯ
- ที่สำคัญ: ผ่านตัวแทน (Agent) ของตนเองในประเทศไทย ผู้ขายจะเป็นผู้ดำเนินพิธีการศุลกากรขาเข้าสำหรับเคสโทรศัพท์ และเป็น ผู้ชำระภาษีนำเข้าและ VAT 7% ให้กับกรมศุลกากรไทย
- จัดการขนส่งสินค้าจากสนามบินไปยังคลังสินค้าของลูกค้าในจังหวัดนนทบุรี
- ผู้ซื้อ (ไทย): มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ เตรียมคนงานเพื่อขนกล่องเคสโทรศัพท์ลงจากรถตู้ที่มาส่ง
- จุดโอนความเสี่ยง: ความเสี่ยงโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ เมื่อรถตู้มาจอดที่คลังสินค้าในจังหวัดนนทบุรีและพร้อมให้ขนของลง
บทสรุป
DDP คือเทอมที่มอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้ซื้อในระดับสูงสุด เปรียบได้กับการสั่งซื้อสินค้าภายในประเทศ แต่ในทางกลับกัน มันคือเทอมที่สร้างภาระและความเสี่ยงให้แก่ผู้ขายมากที่สุดเช่นกัน ผู้ขายที่คิดจะเสนอราคาเทอมนี้จำเป็นต้องมีความสามารถในการจัดการด้านโลจิสติกส์และศุลกากรในประเทศปลายทางได้อย่างสมบูรณ์แบบ