การทำเป็นทุกอย่างเป็นเรื่องดี แต่การต้องทำทุกอย่างที่ทำเป็นไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ผมเรียนรู้คำนี้อย่างถ่องแท้แบบที่เรียกว่าเข้าใจแล้วยังเข้าใจได้อีกก็ตอนทำเพจ “Eximportal นำเข้าส่งออก” ครับ พอเริ่มมีคนเข้ามาอ่านจำนวนมากขึ้นทุกวัน ๆ แล้วหน้าที่การงานก็ต้องรับผิดชอบอีกด้วย เมื่อยุ่งกับยุ่งมาเจอกันก็กลายเป็นโคตรยุ่ง ตลอดปี 2558 ที่ผ่านมาผมแทบจะไม่เคยมีวันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดเลยครับ ยิ่ง 3 เดือนสุดท้ายที่ต้องผลักดันโปรเจคสำคัญก็กลายเป็นว่านอนวันละ 6 ชม. ได้ก็โคตรจะดีใจแล้วครับ
ทั้งหมดที่คุณเห็นไม่ว่าจะเป็น Facebook fan page, Website และ Line@ ผมทำคนเดียว คือเริ่มแรกผมไม่มีเงินจ้างกราฟฟิกดีไซน์ผมเลยทำเอง ไม่มีเงินจ้างคนทำเวปผมก็เลยงมเองอีก ผมไม่รู้จะหาบทความที่ไหนมาให้พวกคุณอ่านผมก็เลยเขียนเองเลย และนั่นก็แลกมาด้วยการต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด แถมยังจัดตารางชีวิตไม่ลงตัวอีกต่างหาก(เอาเข้าจริงการจัดตารางชีวิตก็มีผลไม่แพ้การแบกงานเกินตัวเลยละครับ)
แรก ๆ มันก็สนุกดีแถมยังรู้สึกภูมิใจในตัวเองอย่างบอกไม่ถูกอีกด้วยแต่พอนานเข้าอาการมันเริ่มออกครับ ความเหนื่อยสะสมเล่นงานจนเป็นโรคกรดไหลย้อน กลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายอีกด้วย ตอนนี้ถ้ามีใครบอกให้ผมทำแบบนี้อีกรอบผมคงตอบทันทีว่า “ไม่” ครับ แต่ไม่ว่าจะยังไงบล๊อกส่วนตัวก็ไม่ได้จ้างใครมาดูแลแทนได้ง่าย ๆ ผมเลยต้องจัดตารางงานใหม่หมดและในส่วนที่ไม่เก่งผมก็จ้างคนอื่นแทนด้วยการบรีฟภาษาเดียวกัน เพราะผมผ่านการเรียนรู้มาหมดแล้วนั่นเอง
ดังนั้นแรก ๆ ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะปล่อยทุกอย่างให้คนอื่นทำตั้งแต่ต้น การทำงานประเภทชี้นิ้วสั่งหรือขอให้คนอื่นทำแทนแล้วเรามารอนั่งวัดผลอย่างเดียวก็ไม่ใช่วิธีการทำงานที่ดีเช่นกัน ถ้าไม่รู้ให้ลึกพอสมควรเสียก่อนตอนวัดผลคุณก็จะทำงานยากอยู่ดีครับ จะเป็นหัวหน้าคนได้ก็ต้องมีประสบการณ์ด้วย
เรื่องสุดท้ายที่สำคัญที่อยากจะบอกจริง ๆ ก็คือการทำทุกอย่างด้วยตัวเองนั้นไม่สามารถทำให้คุณเจริญขึ้นได้อย่างแท้จริง
คุณเก่งขึ้นแต่คุณก็กลายเป็นเสียเวลาไปกับการลงมือทำทุกอย่างแทน เก่งแค่ไหนก็จะหยุดอยู่แค่นั้นแหละครับ ไม่เหลือเวลาให้คิดหรือทำอย่างอื่นต่อแล้ว ดังนั้นคุณต้องรู้ให้จริงและต้องปล่อยมันออกไปให้คนอื่นทำต่อให้ได้ แล้วคุณก็จะกลายเป็นหัวหน้าคนหรือเจ้าคนนายคนครับ :)