มนุษย์ที่ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรือดูเอื่อยเฉื่อยบนโลกนี้มีมากมาย เรามักจะนิยามคนเหล่านี้ว่า “คนขี้เกียจ” ครับ แต่รู้หมือไร่? ว่าการชี้ให้คนเหล่านี้เป็นคนขี้เกียจทำให้เราเพิ่มจำนวนมนุษย์ขี้เกียจบนโลกนี้ขึ้นมามากมายโดยไม่จำเป็นและทำให้งานหรือธุรกิจของเราไม่ก้าวหน้าอย่างที่ควรจะเป็นอีกด้วย ดังนั้นผมจะขอนิยาม “คนขี้เกียจ” ขึ้นมาใหม่เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกันไปในทิศทางที่ควรจะเป็นนะครับ

คนที่คุณเห็นว่าขี้เกียจนั้นคือ “คนที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร”

หลาย ๆ คนคงจะเถียงผมว่าพวกเค้ามีหน้าที่ที่ชัดเจนอยู่แล้วจะไม่รู้ว่าต้องทำอะไรได้ยังไง? แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าพวกเค้าแค่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรแค่นั้นเอง ซึ่งที่พวกเค้าไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรนั้นเกิดจากที่พวกเค้าคาดหวังและหลงทางจากการปลูกฝังทัศนะคติไม่ดีมาตลอดทาง ทำให้กรอบความคิดกับกรอบความรู้สึกขัดแย้งกัน เมื่อสิ่งที่ทำไม่ตอบโจทย์ความสำเร็จพวกเค้าจึงกลายเป็นคนหมดหวังและไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรในที่สุด

โลกใบนี้สอนให้พวกเค้าต้องประสบความสำเร็จไว ๆ แต่ตีกรอบให้ต้องทำงานตามที่สั่งหรือทำงานตามความต้องการของคนอื่น เมื่อความรู้สึกกับงานที่ทำไม่ผสมผสานกันอย่างลงตัว พวกเค้าจะเริ่มมองไปที่ค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียวและกลายเป็นคนไม่อยากทำงานแต่ดันอยากได้เงินเพิ่ม! พวกเค้าคิดว่าตัวเองทำงานหนักมากทั้งที่มันมาจากความน่าเบื่อในตัวงานต่างหากที่ทำให้งานชิ้นเดียวกลายเป็นงานสามชิ้นไปซะอย่างนั้นและคนส่วนใหญ่วัดผลคนสำเร็จด้วยการใช้ชีวิตหรูหราซึ่งเงินก็คือปัจจัยให้ใช้ชีวิตแบบนั้นได้นั่นเอง พวกเค้าจึงกลายเป็นมนุษย์ขี้เกียจในที่สุด…

คนมากมายเริ่มวิ่งหางานด้วยเหตุผลที่ว่า “มีงานก็มีเงิน” แม้ว่างานที่กำลังจะทำจะทำลายความฝันของตัวเองก็ตาม..

เมื่อเราตั้ง Goal ของเราให้เป็น “การมีงานทำ” เราก็อาจจะกำลังนำพาตัวเองเข้าไปสู่ความเป็น “คนขี้เกียจ” และมีโอกาสสูงมากที่จะได้งานที่ทำให้ตัวเราเองเป็นมนุษย์ขี้เกียจหรือทำงานที่ทำให้ล้มเหลวในชีวิตได้นะครับ

ผมเคยนั่งว่าง ๆ อยู่หลายเดือน เพราะต้องการพักผ่อนจากความรู้รู้สึกเหนื่อยหน่าย ตอนนั้นผมอยากจะลาออกมากเลยครับ ในตอนนั้นผมเหนื่อยหน่ายกับการใช้ระบบ Tele-sales มากมายมหาศาล เรียกได้ว่าถ้าจะให้ผมโทรไปเสนอราคาอย่างไร้จุดหมายแบบนี้อีกตลอดเวลาคุณคงไม่ได้อ่านบทความนี้แน่ ๆ โชคเข้าข้างผมเล็กน้อยที่เจ้านายไม่ใช่คนดุดันขนาดนั้น ผมเลยใช้โอกาสที่ได้มาคิดหาทางทำอะไรใหม่ ๆ ผมเลยศึกษาเรื่องการตลาดออนไลน์ที่ผมก็อยากทำมานานมากแล้ว แม้แรก ๆ ผมจะทำเพราะเบื่อวิธีการเดิม ๆ แต่ในที่สุดวิธีการนี้ก็ตอบโจทย์ตัวผมเองได้เป็นอย่างดี และการค้นพบว่าการทำ Personal Branding เหมาะกับความรู้สึกลึก ๆ ของผมมากที่สุดจึงถือว่าเป็นโชคที่ดีได้ทำมันมาก ๆ ครับ ผมกลายเป็นคนทำงานหนักมากขึ้นเป็น 3 เท่า แต่รู้สึกเหนื่อยน้อยกว่าเดิม 10 เท่า

ทุกคนหลงทางได้ไม่ใช่เรื่องแปลก ผมก็หลงทางจนเป็นมนุษย์ขี้เกียจเหมือนกัน… แรก ๆ เราก็หลงทางกันได้ทั้งนั้นแหละครับ แต่มนุษย์ขี้เกียจอย่างผมกลับกลายเป็นคนบ้างานทำงานหนักได้ เปลี่ยนหน้าหน้ามือเป็นหลังเท้าขนาดนี้เกิดขึ้นได้เพียงเพราะผมลุกขึ้นมาทำลายกำแพงขี้เกียจออกไปและผมเชื่อว่าถ้าผมทำได้ใคร ๆ ก็ทำได้ โมเม้นท์ที่พิเศษมันต้องมาถึงคนเหล่านั้นซักวันเหมือนกันและถ้าคุณก็เป็นหนึ่งในมนุษย์ขี้เกียจอยู่ละก็…. ลองลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ บ้างนะครับ ถ้าคุณได้เจองานที่ทำให้คุณขยันมากขึ้นแต่เหนื่อยน้อยลง คุณจะได้เจอโลกใหม่เหมือนผมครับ :)

Previous article7 ข้อควรคิดก่อนจะเปิดตลาดส่งออก
Next articleเทอม FOB เหมาะกับใคร?
เซลส์เฟรทฯ ผู้หันหลังให้กับ Tele-Marketing มาทุ่มเทให้กับการทำ Online Marketing แบบเต็มตัว

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here