green and gray evergreen cargo ship

สำหรับผู้ส่งออก การเสนอขายสินค้าภายใต้เงื่อนไข CFR (Cost and Freight) เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับข้อเสนอของคุณได้ เพราะเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าในเรื่องการจัดการขนส่งทางเรือ อย่างไรก็ตาม การใช้เทอมนี้จำเป็นต้องอาศัย “การสื่อสารที่ชัดเจน” เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจถึงขอบเขตความรับผิดชอบเรื่องความเสี่ยงและประกันภัย

บทความนี้จะวิเคราะห์เทอม CFR จากมุมมองของ “ผู้ส่งออก” เพื่อให้คุณสามารถใช้เทอมนี้เป็นเครื่องมือทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

ข้อดีของการเสนอราคาเทอม CFR สำหรับผู้ส่งออก (Advantages for the Exporter)

  1. เพิ่มความน่าสนใจให้ข้อเสนอการขาย: การเสนอราคาที่รวมค่าระวางเรือไปจนถึงท่าเรือปลายทาง (เช่น “CFR Yokohama Port”) ช่วยให้ผู้ซื้อคำนวณต้นทุนได้ง่ายขึ้น และเป็นบริการเสริมที่ทำให้ข้อเสนอของคุณน่าสนใจกว่าคู่แข่งที่เสนอราคาแค่แบบ FOB
  2. ไม่ต้องรับภาระเรื่องประกันภัย: เมื่อเทียบกับเทอม CIF การใช้ CFR ช่วยให้ผู้ส่งออกไม่ต้องวุ่นวายกับการหาและซื้อกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งช่วยลดขั้นตอนและเอกสารในการทำงานลงได้
  3. อาจสร้างกำไรจากค่าระวางเรือ: หากผู้ส่งออกมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสายการเดินเรือ หรือมีปริมาณการส่งออกมากพอที่จะได้อัตราค่าระวางพิเศษ ก็สามารถบวกกำไรเล็กน้อยเข้าไปในราคา CFR ที่เสนอขายให้ลูกค้าได้
  4. ส่งมอบความเสี่ยงได้เร็ว: เช่นเดียวกับ FOB ความเสี่ยงของผู้ส่งออกสิ้นสุดลงทันทีที่สินค้าถูกวางบนเรือ ณ ท่าเรือต้นทาง ทำให้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกลางทะเล

ข้อเสียและความท้าทายของเทอม CFR ที่ผู้ส่งออกต้องจัดการ (Disadvantages and Challenges for the Exporter)

  1. ภาระในการจัดการค่าขนส่งทางเรือ: ผู้ส่งออกต้องรับหน้าที่ในการติดต่อสายการเดินเรือ, จองระวาง, และทำสัญญาการขนส่ง ซึ่งต้องใช้ความรู้ความชำนาญ
  2. ความเสี่ยงด้านอัตราค่าระวางที่ผันผวน: หากอัตราค่าระวางเรือมีการปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่คุณได้เสนอราคา CFR ให้ลูกค้าไปแล้ว กำไรของคุณก็จะลดลงทันที การเสนอราคาจึงต้องคำนึงถึงความเสี่ยงข้อนี้ด้วย
  3. ความเสี่ยงสูงสุดจากความเข้าใจผิดของลูกค้า: นี่คือความเสี่ยงเชิงความสัมพันธ์ที่อันตรายที่สุด ผู้ซื้อที่ไม่มีประสบการณ์อาจทึกทักเอาเองว่า “ในเมื่อผู้ขายจ่ายค่าเรือให้ ก็ต้องรับผิดชอบของให้ด้วยสิ” หากเกิดความเสียหายขึ้นกลางทางและผู้ซื้อไม่ได้ทำประกันไว้ พวกเขาย่อมไม่พอใจและอาจโทษว่าเป็นความผิดของคุณ แม้ว่าตามกฎแล้วคุณจะไม่ต้องรับผิดชอบก็ตาม ซึ่งอาจทำลายความสัมพันธ์ทางธุรกิจได้

ตัวอย่างสถานการณ์: ผู้ส่งออกสินค้าเกษตร

บริษัทไทยส่งออกมันสำปะหลังอัดเม็ด (สินค้าเทกอง) ไปยังโรงงานผลิตเอทานอลในประเทศจีน ลูกค้าเป็นบริษัทขนาดใหญ่และมีความเชี่ยวชาญในการนำเข้า ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงใช้เทอม CFR Port of Shanghai, China

  • แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด:
    • ในสัญญาซื้อขายและใบแจ้งหนี้ (Invoice) บริษัทไทยได้ระบุข้อความสำคัญไว้ด้วยตัวหนาอย่างชัดเจนว่า: “ภายใต้เงื่อนไข CFR Incoterms 2020 ความเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายของสินค้าจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อเมื่อสินค้าอยู่บนเรือ ณ ท่าเรือต้นทาง ผู้ซื้อมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำประกันภัยสินค้าสำหรับการขนส่งทางทะเลด้วยตนเอง”
  • ผลลัพธ์:
    • ผู้ส่งออกไทยสามารถให้บริการลูกค้าด้วยการจัดการค่าเรือให้
    • ผู้ซื้อชาวจีนซึ่งมีกรมธรรม์ของตนเองอยู่แล้วก็พอใจที่ไม่ต้องจ่ายค่าประกันซ้ำซ้อน
    • การสื่อสารที่ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรช่วยป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น และทำให้ทั้งสองฝ่ายทำธุรกิจกันได้อย่างราบรื่น

คำแนะนำสำหรับผู้ส่งออก: การสื่อสารคือเกราะป้องกัน

  • ระบุให้ชัดเจนเสมอ: ในทุกเอกสารทางการค้า ควรระบุข้อความเตือนให้ผู้ซื้อทราบว่าพวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบความเสี่ยงและต้องทำประกันภัยเอง
  • แนะนำให้ลูกค้าทำประกัน: การแสดงความห่วงใยด้วยการแนะนำให้ลูกค้าทำประกันภัย เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
  • เสนอ CIF เป็นทางเลือก: สำหรับลูกค้าที่ดูเหมือนจะไม่มีประสบการณ์หรือไม่เข้าใจเรื่องความเสี่ยง การเสนอราคาเทอม CIF (ซึ่งคุณทำประกันให้) ควบคู่ไปด้วย อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับทุกฝ่ายในระยะยาว

บทสรุปสำหรับผู้ส่งออก: CFR เป็นเครื่องมือที่ดีในการเพิ่มความน่าสนใจให้ข้อเสนอขาย แต่ต้องใช้ควบคู่ไปกับการสื่อสารที่โปร่งใสและชัดเจนที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าเข้าใจหน้าที่ของตนเองและป้องกันข้อพิพาทที่อาจบั่นทอนความสัมพันธ์ทางธุรกิจของคุณ

©2025 exptblog.com | the logistics blog and podcast

CONTACT US

We're not around right now. But you can send us an email and we'll get back to you, asap.

Sending

Log in with your credentials

Forgot your details?