ในฐานะผู้นำเข้า หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์การสั่งซื้อที่ง่ายดาย, ไร้ความเสี่ยง, และไม่ต้องจัดการเรื่องใดๆ เลยนอกจากรอรับของ เทอม DDP (Delivered Duty Paid) คือคำตอบสุดท้ายและดีที่สุดสำหรับคุณ มันคือเงื่อนไขที่เปลี่ยนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศให้ง่ายเหมือนการสั่งซื้อของจากร้านค้าออนไลน์ในประเทศ
บทความนี้จะวิเคราะห์เทอม DDP จากมุมมองของ “ผู้นำเข้า” เพื่อให้คุณเห็นถึงประโยชน์สูงสุด และข้อควรพิจารณาทางการเงินที่อาจซ่อนอยู่เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้
ข้อดีของการใช้เทอม DDP สำหรับผู้นำเข้า (Advantages for the Importer)
- สะดวกสบายสูงสุดและไร้ความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง (Ultimate Convenience & Zero Risk): ผู้ซื้อไม่ต้องรับผิดชอบหรือกังวลเกี่ยวกับกระบวนการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง, ความเสี่ยงต่อสินค้าเสียหาย, การทำประกันภัย, หรือพิธีการศุลกากรที่ซับซ้อน นี่คือประสบการณ์การซื้อที่ “ไร้กังวล” อย่างแท้จริง
- ต้นทุนรวมที่แน่นอนและโปร่งใส (Fixed and Transparent Landed Cost): ราคาที่คุณจ่ายให้ผู้ขายคือราคาสุดท้ายและเบ็ดเสร็จ (Final All-in Price) ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝงหรือค่าธรรมเนียมใดๆ มาให้ประหลาดใจในภายหลัง ทำให้การคำนวณต้นทุน, การตั้งราคาขาย, และการวางแผนงบประมาณทำได้ง่ายและแม่นยำมาก
- ไม่ต้องมีความรู้ด้านการนำเข้า (No Import Expertise Required): DDP เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ, SME, หรือบุคคลทั่วไปที่ไม่มีแผนกนำเข้า-ส่งออก และไม่มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการศุลกากร ทำให้สามารถเข้าถึงสินค้าจากทั่วโลกได้โดยไม่มีอุปสรรค
ข้อเสียและ “ราคาที่ต้องจ่าย” ของเทอม DDP ที่ผู้นำเข้าต้องพิจารณา (Disadvantages and the “Price” of Convenience)
- ราคาสินค้าสูงที่สุด (Highest Possible Price): ความสะดวกสบายนี้ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย DDP คือเทอมที่ผู้ขายจะเสนอราคาขายสูงที่สุด เพราะพวกเขาได้รวมค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นค่าขนส่ง, ค่าประกัน, ค่าดำเนินการ, ค่าภาษีอากรทั้งหมด, และที่สำคัญคือค่าบริหารความเสี่ยงและความยุ่งยากทั้งหมดเข้าไปแล้ว
- ขาดการควบคุมโดยสิ้นเชิง (Complete Lack of Control): ผู้นำเข้าไม่มีสิทธิ์เลือกบริษัทขนส่ง, เส้นทาง, หรือตารางเวลาใดๆ และไม่มีส่วนร่วมหรือมองเห็นกระบวนการดำเนินพิธีการศุลกากรเลย ซึ่งอาจไม่เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการควบคุมซัพพลายเชนอย่างใกล้ชิด
- ข้อเสียด้านภาษีที่สำคัญ: ไม่สามารถขอคืนภาษีซื้อได้ (The Critical Tax Disadvantage: Inability to Reclaim Input VAT): สำหรับธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) นี่คือข้อเสียที่ใหญ่ที่สุด ภายใต้เทอม DDP ผู้ขายหรือตัวแทนของผู้ขายคือ “ผู้นำเข้า” ที่มีชื่อในเอกสารของกรมศุลกากร ดังนั้น ใบเสร็จค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า (ภาษีซื้อ) จะไม่ได้ออกในนามบริษัทของคุณ ทำให้คุณ ไม่สามารถนำภาษีซื้อนั้นไปหักออกจากภาษีขาย (เครดิตภาษี) ได้ ซึ่งหมายถึงต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้น 7% โดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว
ตัวอย่างสถานการณ์: ร้านกาแฟนำเข้าเครื่องชงกาแฟ
ร้านกาแฟเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียน VAT ต้องการนำเข้าเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่คุณภาพสูงจากอิตาลี
- สถานการณ์ A (เลือก DDP): ร้านกาแฟเลือก DDP เพื่อความสะดวก ราคาเครื่อง 350,000 บาท (ราคารวมทุกอย่าง) ผู้ขายอิตาลีจัดการนำเข้าและจ่าย VAT 7% (สมมติประมาณ 21,000 บาท) ให้ แต่ชื่อผู้นำเข้าคือตัวแทนของผู้ขาย ร้านกาแฟจึงไม่สามารถนำ 21,000 บาทนี้ไปเครดิตภาษีได้
- สถานการณ์ B (เลือก DAP): ร้านกาแฟเลือก DAP ราคาเครื่องอาจอยู่ที่ 300,000 บาท (ไม่รวมภาษี) เมื่อของมาถึงไทย ร้านกาแฟเป็นผู้ดำเนินพิธีการนำเข้าเองและจ่าย VAT 7% จำนวน 21,000 บาทโดยตรง ใบเสร็จออกจากกรมศุลกากรในนามของร้านกาแฟ ทำให้สามารถนำ 21,000 บาทนี้ไปหักลบกับภาษีขายที่เก็บจากลูกค้าได้
บทเรียน: แม้ DDP จะสะดวก แต่สำหรับธุรกิจที่จด VAT การเลือกใช้ DAP และจัดการภาษีเองมักจะให้ประโยชน์ทางการเงินมากกว่า
บทสรุปสำหรับผู้นำเข้า
DDP คือสวรรค์ของความสะดวกสบาย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ซื้อรายย่อยหรือธุรกิจที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT และต้องการต้นทุนที่แน่นอน อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจที่จดทะเบียน VAT การพิจารณาใช้เทอม DAP เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางภาษีของตนเอง มักจะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดกว่าในระยะยาว