white dry erase board with red diagram

การทำความเข้าใจคำจำกัดความของ Incoterms ทั้ง 11 เทอมเป็นเพียงก้าวแรก แต่ความท้าทายที่แท้จริงซึ่งชี้วัดความเป็นมืออาชีพและส่งผลโดยตรงต่อกำไรขาดทุนของธุรกิจ คือการเลือกใช้เทอมที่ “เหมาะสมที่สุด” กับสถานการณ์, ประเภทสินค้า, และระดับความสามารถของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย การเลือกเทอมผิด ไม่เพียงแต่สร้างความสับสน แต่ยังอาจนำมาซึ่งต้นทุนแฝงและความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นอย่างมหาศาล

บทความนี้คือคู่มือเชิงกลยุทธ์ฉบับสมบูรณ์ ที่จะวิเคราะห์ Incoterms 2020 ทั้ง 11 เทอมอย่างละเอียดใน 3 มิติสำคัญ: เหมาะกับใคร? เหมาะกับงานแบบไหน? และเหมาะกับสินค้าอะไร? เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้ Incoterm ได้อย่างชาญฉลาดและสร้างความได้เปรียบสูงสุดให้กับธุรกิจของคุณ

ส่วนที่ 1: กลุ่มที่ใช้ได้กับการขนส่งทุกรูปแบบ (Rules for Any Mode or Modes of Transport)

เทอมในกลุ่มนี้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถใช้ได้กับการขนส่งทั้งทางบก, ทางอากาศ, ทางราง, และการขนส่งทางทะเลที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ (Multimodal Transport)

1. EXW – Ex Works (รับมอบ ณ หน้าโรงงาน)

  • เหมาะกับใคร:
    • ผู้ซื้อ (Importer): เหมาะสำหรับผู้นำเข้ารายใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญสูง, มีตัวแทน (Freight Forwarder) ที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้ในประเทศของผู้ขาย, หรือมีสำนักงานสาขาตั้งอยู่ในประเทศนั้นๆ ระดับความรู้ที่ต้องการคือ “ผู้เชี่ยวชาญ” เนื่องจากต้องรับมือกับความซับซ้อนของโลจิสติกส์และศุลกากรขาออกในประเทศที่ไม่ใช่ของตนเอง ผู้ซื้อที่เลือกเทอมนี้มักเป็นผู้ที่ต้องการควบคุมซัพพลายเชนทั้งหมดด้วยตนเอง และมีอำนาจต่อรองสูงกับผู้ให้บริการขนส่งเพื่อจัดการต้นทุนให้ต่ำที่สุด
    • ผู้ขาย (Exporter): เหมาะสำหรับผู้ส่งออกที่ต้องการรับผิดชอบน้อยที่สุด หรือเป็นผู้ผลิตรายย่อย, สตาร์ทอัพ, หรือธุรกิจที่ไม่มีความชำนาญด้านโลจิสติกส์และการส่งออกเลย และต้องการเสนอราคาหน้าโรงงานที่ต่ำที่สุดเพื่อดึงดูดผู้ซื้อที่มีศักยภาพในการจัดการเอง หรือผู้ขายที่ต้องการมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่การผลิตเพียงอย่างเดียว
  • เหมาะกับงานแบบไหน:
    • การรวบรวมสินค้า (Consolidation): สถานการณ์ที่ผู้ซื้อสั่งสินค้าจากซัพพลายเออร์หลายรายในประเทศเดียวกัน และต้องการให้ตัวแทนของตนไปตระเวนรับสินค้าจากแต่ละโรงงานเพื่อนำมารวบรวมที่คลังสินค้า (Hub) ก่อนทำการส่งออกในครั้งเดียว เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง ตัวอย่างเช่น บริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ในยุโรปอาจสั่งซื้อสินค้าเซรามิกจากโรงงาน A ในลำปาง, สินค้าผ้าไหมจากโรงงาน B ในเชียงใหม่, และสินค้าเฟอร์นิเจอร์จากโรงงาน C ในกรุงเทพฯ การใช้เทอม EXW ทำให้ตัวแทนของผู้ซื้อสามารถวางแผนเส้นทางรถบรรทุกเพื่อไปรับสินค้าทั้งหมดและนำมาแพ็ครวมกันที่คลังสินค้าใกล้ท่าเรือได้
    • การซื้อขายภายในประเทศ: กรณีที่ผู้ซื้อเป็นบริษัทในประเทศเดียวกันกับผู้ขาย แต่จะนำสินค้านั้นไปเพื่อการส่งออกต่อด้วยตนเอง
    • สถานการณ์ที่ผู้ซื้อเชื่อว่าตนเองสามารถจัดการโลจิสติกส์และศุลกากรได้ในราคาที่ถูกกว่าการให้ผู้ขายจัดการให้ ซึ่งมักจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีอำนาจต่อรองสูงกับผู้ให้บริการขนส่ง
  • เหมาะกับสินค้าอะไร:
    • ใช้ได้กับสินค้าทุกประเภท แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวสินค้า แต่อยู่ที่ความสามารถในการจัดการของผู้ซื้อมากกว่า อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังอย่างยิ่ง คือสินค้าที่ต้องมีใบอนุญาตส่งออกเป็นพิเศษ (Export License) เช่น สินค้าที่จัดเป็นยุทธภัณฑ์, สินค้าสองทาง (Dual-use items), หรือสินค้าที่มีข้อจำกัดทางการค้าบางประการ เนื่องจากผู้ซื้อมีหน้าที่ดำเนินพิธีการส่งออก แต่ในฐานะนิติบุคคลต่างชาติ อาจไม่สามารถขอใบอนุญาตเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งอาจทำให้สินค้าติดค้างที่ศุลกากรได้

2. FCA – Free Carrier (ส่งมอบให้ผู้รับขนส่ง)

  • เหมาะกับใคร:
    • เหมาะกับ “ทุกคน” ในการค้ายุคใหม่ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายทุกระดับความรู้ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญ นี่คือเทอมที่มีความสมดุล, ชัดเจน, และสะท้อนภาพความเป็นจริงของการขนส่งสมัยใหม่ได้ดีที่สุด
    • ผู้ซื้อ: ที่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายการขนส่งหลักและตารางเวลา แต่ไม่ต้องการยุ่งยากกับพิธีการส่งออก
    • ผู้ขาย: ที่ต้องการจำกัดความเสี่ยงของตนเองให้สิ้นสุดลง ณ จุดส่งมอบในประเทศของตนที่ชัดเจน (เช่น ที่โรงงานของตนเอง หรือที่คลังสินค้าของ Forwarder) และยังคงสามารถควบคุมกระบวนการส่งออกเพื่อประโยชน์ทางภาษีได้ ถือเป็นเทอมที่มอบความสบายใจให้ผู้ขายได้อย่างมาก
  • เหมาะกับงานแบบไหน:
    • การขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์ (Containerized Cargo): นี่คือเทอมที่ ต้องใช้แทน FOB สำหรับการขนส่งสินค้าที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ทุกชนิด (ทั้ง FCL และ LCL) เพราะจุดโอนความเสี่ยงเกิดขึ้น ณ เวลาและสถานที่ที่ส่งมอบตู้ให้แก่ผู้รับขนส่ง (เช่น ที่ลาน CY) ซึ่งปลอดภัยกว่า FOB ที่มีความเสี่ยงแฝงระหว่างที่ตู้คอนเทนเนอร์วางรออยู่ที่ท่าเรือเป็นเวลาหลายวันก่อนขึ้นเรือ
    • การขนส่งทางอากาศ (Air Freight) และทางบก (Road/Rail): เป็นเทอมมาตรฐานและเหมาะสมที่สุดสำหรับการขนส่งรูปแบบเหล่านี้
    • การชำระเงินด้วย L/C (Letter of Credit): Incoterms 2020 ได้เพิ่มทางเลือกให้ผู้ซื้อสามารถสั่งผู้รับขนส่งให้ออกใบตราส่ง (Bill of Lading) ที่มีสัญลักษณ์ “On-board” ให้กับผู้ขายได้ เพื่อให้ผู้ขายสามารถนำไปขึ้นเงินกับธนาคารได้สะดวกขึ้น ซึ่งช่วยแก้ปัญหาคลาสสิกของเทอมนี้ได้
  • เหมาะกับสินค้าอะไร:
    • สินค้าทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์, สินค้าที่ขนส่งทางอากาศ, ทางรถ, หรือทางราง เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, เสื้อผ้า, ชิ้นส่วนรถยนต์, สินค้าอุปโภคบริโภค

3. CPT – Carriage Paid To (จ่ายค่าระวางถึงปลายทาง)

  • เหมาะกับใคร:
    • ผู้ขาย: ที่ต้องการเสนอบริการเสริมด้วยการจัดการค่าขนส่งให้ลูกค้าเพื่อสร้างความน่าสนใจในการขาย และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ให้บริการขนส่ง
    • ผู้ซื้อ: ที่ต้องการความสะดวกสบายเรื่องการจัดการขนส่ง แต่ที่สำคัญคือ ต้องมีความสามารถในการจัดการทำประกันภัยด้วยตนเอง และยอมรับความเสี่ยงที่โอนมาตั้งแต่ต้นทางได้ ระดับความรู้ที่ต้องการคือ “ปานกลางถึงสูง” โดยเฉพาะในด้านการบริหารความเสี่ยงและการประกันภัย เช่น บริษัทขนาดใหญ่ที่มีกรมธรรม์ประกันภัยแบบรายปี (Open Cover Policy) ซึ่งจะได้เบี้ยประกันที่ถูกกว่า หรือผู้นำเข้าที่ประเมินแล้วว่าความเสี่ยงของสินค้านั้นต่ำ
  • เหมาะกับงานแบบไหน:
    • สถานการณ์ที่ผู้ขายมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสายการเดินเรือ/สายการบินและได้ราคาค่าขนส่งที่ดี จึงสามารถเสนอราคาที่รวมค่าขนส่งที่แข่งขันได้
    • การซื้อขายที่ผู้ซื้อมีความเชี่ยวชาญด้านประกันภัยและสามารถหาเบี้ยประกันได้ในราคาที่ถูกกว่าผู้ขาย หรือมีนโยบายของบริษัทในการจัดการประกันเองทั้งหมด
    • การส่งสินค้าไปในเส้นทางที่ผู้ซื้ออาจหาผู้รับขนส่งได้ยาก แต่เป็นเส้นทางที่ผู้ขายมีความชำนาญ
  • เหมาะกับสินค้าอะไร:
    • สินค้ามูลค่าไม่สูง: ซึ่งผู้ซื้ออาจประเมินแล้วว่าคุ้มค่าที่จะรับความเสี่ยงเองโดยไม่ทำประกันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น สินค้าตัวอย่าง, ของชำร่วย, หรือวัตถุดิบราคาถูก
    • สินค้าทั่วไปที่ความเสี่ยงในการเสียหายระหว่างทางไม่สูงมากนัก หรือมีความทนทานสูง เช่น สินค้าพลาสติก, สิ่งทอ

4. CIP – Carriage and Insurance Paid To (จ่ายค่าระวางและประกันภัยถึงปลายทาง)

  • เหมาะกับใคร:
    • ผู้ขาย: ที่ต้องการเสนอบริการแบบครบวงจร (Full Service) เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสูงสุด
    • ผู้ซื้อ: ทุกระดับความรู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย, ไม่ต้องการยุ่งยากกับการหาเรือและทำประกันเอง, และต้องการต้นทุนที่ชัดเจนแน่นอนไปจนถึงปลายทาง และต้องการความคุ้มครองความเสี่ยงในระดับสูงสุด
  • เหมาะกับงานแบบไหน:
    • การค้าที่ผู้ซื้อต้องการความอุ่นใจและไม่ต้องรับภาระในการหาประกันหรือเจรจาค่าขนส่ง เป็นเทอมที่แสดงถึงการบริการลูกค้าที่ดีเยี่ยมจากฝั่งผู้ขาย
    • การขนส่งสินค้าที่มีหลายรูปแบบผสมผสานกัน (Multimodal) และการติดตามสถานะประกันภัยตลอดเส้นทางอาจเป็นเรื่องซับซ้อนสำหรับผู้ซื้อ
  • เหมาะกับสินค้าอะไร:
    • สินค้ามูลค่าสูง, สินค้าเปราะบาง, หรือมีความสำคัญเป็นพิเศษ: เนื่องจาก Incoterms 2020 บังคับให้เทอม CIP ต้องทำประกันภัยในระดับสูงสุด (Clause A – All Risks) จึงเหมาะอย่างยิ่งกับสินค้าเช่น เครื่องมือแพทย์, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ความแม่นยำสูง, ชิ้นส่วนเครื่องจักรที่มีราคาแพง, สินค้าแฟชั่นราคาสูง, หรือยาและเวชภัณฑ์

5. DAP – Delivered at Place (ส่งมอบ ณ สถานที่ปลายทาง)

  • เหมาะกับใคร:
    • ผู้ขาย: ที่มีศักยภาพด้านโลจิสติกส์สูง และมีเครือข่ายพันธมิตร (Freight Forwarder) ที่สามารถจัดการขนส่งแบบ Door-to-Door ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ผู้ซื้อ: ที่ต้องการความสะดวกสบายและความเสี่ยงในการขนส่งต่ำที่สุด แต่ ยังคงต้องการควบคุมกระบวนการนำเข้าและชำระภาษีด้วยตนเอง ซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุผลด้านกฎหมาย (ต้องเป็นผู้นำเข้าตามใบอนุญาต), การบัญชี (ต้องการใช้สิทธิ์เครดิตภาษีซื้อ VAT), หรือมีความเชี่ยวชาญในการจัดการกับศุลกากรในประเทศตนเองมากกว่าผู้ขายที่อยู่ต่างประเทศ
  • เหมาะกับงานแบบไหน:
    • การซื้อขายแบบ B2B ที่ผู้นำเข้ามีทีมงานหรือตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ของตนเองเพื่อจัดการเรื่องภาษี
    • การส่งสินค้าตัวอย่างหรือสินค้าสำหรับจัดแสดงในนิทรรศการ ที่ผู้รับปลายทางต้องการความสะดวกแต่ต้องจัดการเรื่องเอกสารนำเข้าเอง
    • การซื้อขายที่ผู้ซื้อไม่ต้องการให้ผู้ขายรับรู้โครงสร้างต้นทุนด้านภาษีของตนเอง
  • เหมาะกับสินค้าอะไร:
    • สินค้าทุกประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่ผู้ขายต้องการควบคุมคุณภาพการขนส่งไปจนถึงมือลูกค้า เพื่อรักษาชื่อเสียงของแบรนด์ เช่น สินค้าแบรนด์เนม, อาหารสดที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิ, หรือสินค้าที่ต้องการการติดตั้งหลังส่งมอบ

6. DPU – Delivered at Place Unloaded (ส่งมอบ ณ สถานที่ปลายทางพร้อมขนลง)

  • เหมาะกับใคร:
    • ผู้ขาย: ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการขนถ่ายสินค้าของตนเอง และใช้ความสามารถนี้เป็นจุดขายที่เหนือกว่าคู่แข่ง
    • ผู้ซื้อ: ที่สั่งซื้อสินค้าที่ตนเองไม่มีอุปกรณ์ (เช่น เครน, โฟล์คลิฟท์) หรือความชำนาญในการนำลงจากยานพาหนะ หรือสถานที่ส่งมอบไม่มีพื้นที่หรืออุปกรณ์รองรับเพียงพอ
  • เหมาะกับงานแบบไหน:
    • สถานการณ์ที่ “การขนถ่ายสินค้าลง” เป็นขั้นตอนที่มีความเสี่ยงสูง, มีค่าใช้จ่ายสูง, หรือต้องการอุปกรณ์พิเศษ เช่น การติดตั้งเครื่องจักรในโรงงาน, การส่งมอบวัสดุก่อสร้างที่ไซต์งาน, การส่งมอบตู้คอนเทนเนอร์ไปยังพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีอุปกรณ์ยกตู้
  • เหมาะกับสินค้าอะไร:
    • เครื่องจักรกลหนัก, อุปกรณ์ก่อสร้าง, รูปปั้นขนาดใหญ่, แผ่นกระจกขนาดพิเศษ, เครื่องมือแพทย์ที่ละเอียดอ่อน, ตู้คอนเทนเนอร์แบบพิเศษที่ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะในการยก หรือสินค้าใดๆ ก็ตามที่ขั้นตอนการนำลงจากรถมีความสำคัญและเสี่ยงต่อความเสียหายอย่างยิ่ง

7. DDP – Delivered Duty Paid (ส่งมอบพร้อมชำระภาษีอากร)

  • เหมาะกับใคร:
    • ผู้ขาย: ที่มีความสามารถในการจัดการด้านศุลกากรในประเทศปลายทางได้อย่างสมบูรณ์แบบ (ซึ่งมักจะทำผ่านตัวแทนหรือบริษัทโลจิสติกส์ระดับโลก)
    • ผู้ซื้อ: ที่ต้องการประสบการณ์การซื้อที่ง่ายที่สุดเหมือนการซื้อของออนไลน์, ไม่ต้องการรับผิดชอบอะไรเลยนอกจากขนของลง, และไม่กังวลเรื่องการขอคืนภาษีซื้อ (VAT) เหมาะสำหรับผู้ซื้อทุกระดับความรู้ แต่ต้องตระหนักถึงข้อเสียด้านภาษี
  • เหมาะกับงานแบบไหน:
    • ธุรกิจ E-commerce แบบ B2C: ที่ผู้บริโภครายย่อยจ่ายราคาเดียวจบและรอรับของที่บ้าน
    • การส่งสินค้าระหว่างบริษัทในเครือเดียวกัน (Inter-company transfer): ที่บริษัทแม่จัดการทุกอย่างให้บริษัทลูก
    • การส่งอะไหล่หรือชิ้นส่วนเร่งด่วนที่ผู้รับปลายทางต้องการของทันทีโดยไม่ต้องการยุ่งกับเอกสาร
    • การขายที่ผู้ขายต้องการควบคุมราคาขายปลีกปลายทาง จึงต้องควบคุมต้นทุนทั้งหมดรวมถึงภาษี
  • เหมาะกับสินค้าอะไร:
    • สินค้าทุกประเภท แต่ผู้ขายต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าตนเองสามารถนำเข้าสินค้าชนิดนั้นในประเทศปลายทางได้อย่างถูกกฎหมาย

ส่วนที่ 2: กลุ่มที่ใช้เฉพาะการขนส่งทางทะเลและทางน้ำ (Rules for Sea and Inland Waterway Transport)

เทอมในกลุ่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการค้าดั้งเดิม และ ไม่ควรใช้กับการขนส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ แต่เหมาะกับสินค้าเทกองหรือสินค้าขนาดใหญ่ที่โหลดขึ้นเรือโดยตรง

8. FAS – Free Alongside Ship (ส่งมอบข้างเรือ)

  • เหมาะกับใคร:
    • ผู้ซื้อและผู้ขายที่มีความเชี่ยวชาญสูงในการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ ระดับความรู้ “ผู้เชี่ยวชาญ”
    • ผู้ซื้อ ที่ต้องการควบคุมขั้นตอนการยกของขึ้นเรือ (Loading) ด้วยตนเอง เพราะอาจมีสัญญาที่ดีกว่ากับบริษัทขนถ่าย (Stevedore) หรือสินค้าต้องการเทคนิคการโหลดพิเศษ
  • เหมาะกับงานแบบไหน:
    • การซื้อขายที่ขั้นตอนการยกของขึ้นเรือมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง และผู้ซื้อต้องการจัดการความเสี่ยงนั้นเอง
  • เหมาะกับสินค้าอะไร:
    • สินค้าเทกอง (Bulk Cargo): เช่น ถ่านหิน, แร่ธาตุ, ธัญพืช, น้ำมันดิบ
    • สินค้าขนาดใหญ่พิเศษ (Project Cargo): เช่น ท่อนซุง, เหล็กโครงสร้าง, เรือยอชท์, ใบพัดกังหันลม

9. FOB – Free On Board (ส่งมอบบนเรือ)

  • เหมาะกับใคร:
    • ผู้ซื้อและผู้ขายในการค้าทางทะเลแบบดั้งเดิมที่ต้องการเงื่อนไขที่สมดุลและเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป เหมาะกับผู้ที่มีความรู้ระดับ “ปานกลางถึงสูง”
  • เหมาะกับงานแบบไหน:
    • สถานการณ์ที่ผู้ขายมีความพร้อมและยอมรับที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการนำของขึ้นไปวางบนเรือให้เรียบร้อย และผู้ซื้อต้องการควบคุมการขนส่งทางทะเลหลักด้วยตนเอง
  • เหมาะกับสินค้าอะไร:
    • เช่นเดียวกับ FAS คือ สินค้าเทกองและสินค้าทั่วไปที่ไม่ใช่ตู้คอนเทนเนอร์ (Break-Bulk Cargo) เช่น สินค้าเกษตรบรรจุกระสอบ, เหล็กม้วน, รถยนต์, หรือสินค้าที่โหลดขึ้นเรือทีละชิ้น

10. CFR – Cost and Freight (ค่าสินค้าและค่าระวางเรือ)

  • เหมาะกับใคร:
    • ผู้ขาย: ที่ต้องการเสนอบริการบวกค่าขนส่งทางเรือให้เพื่อความน่าสนใจ
    • ผู้ซื้อ: ที่ต้องการความสะดวกเรื่องค่าขนส่ง แต่ มีความพร้อมและมีวินัยในการทำประกันภัยด้วยตนเองอย่างเคร่งครัด เหมาะกับผู้ซื้อระดับ “ผู้เชี่ยวชาญ” หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีกรมธรรม์ของตนเองอยู่แล้ว
  • เหมาะกับงานแบบไหน:
    • การค้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผู้ซื้อมักเป็นบริษัทขนาดใหญ่และมีอำนาจต่อรองในการทำประกันได้ดีกว่าผู้ขาย
  • เหมาะกับสินค้าอะไร:
    • สินค้าเทกอง เช่น น้ำมัน, เคมีภัณฑ์, สินค้าเกษตร ที่ผู้ซื้อมักเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดและคุ้นเคยกับการบริหารความเสี่ยงเอง

11. CIF – Cost, Insurance and Freight (ค่าสินค้า, ค่าประกันภัย และค่าระวางเรือ)

  • เหมาะกับใคร:
    • ผู้ขาย: ที่ต้องการเสนอบริการเต็มรูปแบบ (ค่าขนส่ง+ประกันภัย) เพื่อแข่งขันในตลาด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ CIF เป็นมาตรฐาน
    • ผู้ซื้อ: ทุกระดับความรู้ที่ต้องการความสะดวกสบายสูงสุดในการซื้อขายทางเรือ ต้องการราคาเดียวที่ครอบคลุมทุกอย่างมาถึงท่าเรือปลายทาง และยอมรับความคุ้มครองประกันภัยในระดับพื้นฐานได้
  • เหมาะกับงานแบบไหน:
    • เป็นเทอมมาตรฐานสำหรับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์จำนวนมากทั่วโลก ที่การชำระเงินมักจะทำผ่าน L/C (Letter of Credit) ซึ่งต้องการเอกสารครบถ้วนทั้ง B/L และ Insurance Certificate
  • เหมาะกับสินค้าอะไร:
    • สินค้าเทกองและสินค้าทั่วไปที่ไม่ใช่ตู้คอนเทนเนอร์ อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อต้องตระหนักว่าประกันภัยที่ผู้ขายทำให้เป็นเพียง ความคุ้มครองขั้นต่ำ (Clause C) หากเป็นสินค้ามูลค่าสูง หรือมีความอ่อนไหวต่อความเสียหาย ควรเจรจาขอความคุ้มครองเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนไปใช้เทอมอื่น

บทสรุป

ไม่มี Incoterm ใดที่ดีที่สุด แต่มี Incoterm ที่ “เหมาะสมที่สุด” สำหรับแต่ละธุรกรรมเสมอ การเลือกใช้ที่ถูกต้องไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเคยชิน แต่ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์อย่างรอบด้านทั้งในเรื่องรูปแบบการขนส่ง, ประเภทของสินค้า, จุดแข็ง-จุดอ่อนของบริษัทคุณและคู่ค้า, และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การใช้คู่มือนี้เป็นแนวทางในการพิจารณาและพูดคุยกับคู่ค้า จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปบนเส้นทางการค้าระหว่างประเทศได้อย่างราบรื่น, ปลอดภัย, และเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง

©2025 exptblog.com | the logistics blog and podcast

CONTACT US

We're not around right now. But you can send us an email and we'll get back to you, asap.

Sending

Log in with your credentials

Forgot your details?