photo of cargo ship on body of water

สำหรับผู้นำเข้าจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจหรือต้องการความไม่ยุ่งยาก การได้รับใบเสนอราคาเทอม CIF (Cost, Insurance and Freight) ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด เพราะเป็นราคาที่รวมทุกอย่างมาให้จนถึงท่าเรือปลายทาง ทั้งค่าสินค้า, ค่าประกัน, และค่าเรือ แต่ภายใต้ความสะดวกสบายนี้ มีรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ “ประกันภัย” ที่ผู้นำเข้าจำเป็นต้องตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมจริงๆ

บทความนี้จะวิเคราะห์เทอม CIF จากมุมมองของ “ผู้นำเข้า” เพื่อให้คุณเข้าใจข้อดีและจุดที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ

ข้อดีของการใช้เทอม CIF สำหรับผู้นำเข้า (Advantages for the Importer)

  1. สะดวกสบายและครบวงจรที่สุด (สำหรับทางเรือ): นี่คือข้อได้เปรียบสูงสุด ผู้นำเข้าไม่ต้องวุ่นวายกับการหาเรือหรือซื้อประกันภัยด้วยตนเอง ผู้ขายจัดการให้ทั้งหมด ทำให้กระบวนการจัดซื้อง่ายและตรงไปตรงมา
  2. ต้นทุนที่คาดการณ์ได้: ราคา CIF เป็นต้นทุนที่ชัดเจนในการนำสินค้ามาจนถึงท่าเรือปลายทาง ช่วยให้การคำนวณต้นทุนรวม (Landed Cost) และการตั้งราคาขายทำได้ง่าย
  3. มีหลักประกันพื้นฐาน: แตกต่างจาก CFR, การใช้เทอม CIF ทำให้ผู้นำเข้ามั่นใจได้ว่าสินค้ามีการทำประกันภัยรองรับไว้อย่างน้อยในระดับหนึ่ง ซึ่งช่วยป้องกันความเสียหายทางการเงินจากภัยพิบัติร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นกับเรือได้

ข้อเสียและ “จุดที่ต้องตรวจสอบ” ของเทอม CIF ที่ผู้นำเข้าต้องรู้ (Disadvantages and “Checkpoints” for the Importer)

  1. ระดับความคุ้มครองประกันภัยอาจไม่เพียงพอ (Insurance Coverage May Be Insufficient): นี่คือความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และสำคัญที่สุด! Incoterms 2020 กำหนดให้ผู้ขายทำประกันให้ใน ระดับขั้นต่ำคือ Institute Cargo Clauses (C)เท่านั้น ซึ่งคุ้มครองแค่ภัยร้ายแรงไม่กี่อย่าง และ ไม่คุ้มครอง ความเสียหายที่พบบ่อย เช่น สินค้าเสียหายจากสภาพอากาศที่เลวร้าย, การกระแทก, การเปียกน้ำ, หรือการลักขโมย หากสินค้าของคุณมีมูลค่าสูงหรือมีความเปราะบาง ความคุ้มครองระดับนี้อาจไม่เพียงพออย่างยิ่ง
  2. ขาดการควบคุมสายเรือและตารางเวลา: ผู้ขายเป็นผู้เลือกสายการเดินเรือ ซึ่งมักจะเลือกตัวเลือกที่ประหยัดที่สุดสำหรับพวกเขา ซึ่งอาจส่งผลให้การขนส่งล่าช้ากว่าที่ควร
  3. ต้องเป็นผู้เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเอง (Must Handle Insurance Claims Yourself): แม้ผู้ขายจะเป็นผู้ซื้อประกันให้ แต่เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น ผู้นำเข้าคือผู้ที่ต้องรับภาระในการเตรียมเอกสารและดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (Claim) กับบริษัทประกันภัยด้วยตนเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจใช้เวลานานและซับซ้อน

ตัวอย่างสถานการณ์: ผู้นำเข้าเครื่องจักรเก่า

บริษัทในไทยนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตรมือสองจากประเทศญี่ปุ่น โดยตกลงซื้อขายภายใต้เงื่อนไข CIF Laem Chabang, Thailand

  • กระบวนการ: ผู้ขายชาวญี่ปุ่นจัดการขนส่งและซื้อประกันภัย Clause C ให้ตามมาตรฐาน
  • ปัญหาที่เกิดขึ้น: ระหว่างการเดินทางในทะเลจีนใต้ เรือเจอพายุไต้ฝุ่น ทำให้เรือโคลงอย่างรุนแรง เครื่องจักรที่ไม่ได้ยึดตรึงอย่างดีพอเกิดการกระแทกกันภายในท้องเรือ ทำให้ชิ้นส่วนสำคัญแตกหักเสียหาย
  • ผลลัพธ์: เมื่อสินค้ามาถึงแหลมฉบัง ผู้นำเข้าชาวไทยพบว่าเครื่องจักรเสียหายและไม่สามารถใช้งานได้ จึงพยายามยื่นเรื่องเคลมประกัน แต่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยให้เหตุผลว่าความเสียหายจากการที่สินค้ากระแทกกันเองเนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย (Heavy Weather) ไม่ใช่ภัยที่ระบุไว้ในความคุ้มครองของ Clause C ผู้นำเข้าจึงต้องรับความเสียหายนั้นไว้เองทั้งหมด

Checklist สำหรับผู้นำเข้า: CIF เพียงพอสำหรับคุณหรือไม่?

  • [ ] สินค้าของคุณขนส่งทางทะเลแบบไม่ใช้ตู้คอนเทนเนอร์ใช่หรือไม่?
  • [ ] คุณได้ตรวจสอบแล้วหรือยังว่าระดับความคุ้มครองขั้นต่ำ (Clause C) นั้นเพียงพอต่อความเสี่ยงของสินค้าคุณ?
  • [ ] หากไม่เพียงพอ คุณได้เจรจากับผู้ขายเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อขอให้อัปเกรดความคุ้มครองเป็น Clause A (All Risks) และยอมรับราคาที่อาจสูงขึ้นแล้วหรือยัง?

คำแนะนำ: หากผู้ขายไม่สามารถอัปเกรดประกันให้ได้ การพิจารณาเปลี่ยนไปใช้เทอม FOB แล้วคุณมาทำประกัน Clause A เอง อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูง

©2025 exptblog.com | the logistics blog and podcast

CONTACT US

We're not around right now. But you can send us an email and we'll get back to you, asap.

Sending

Log in with your credentials

Forgot your details?