สำหรับผู้นำเข้าจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจหรือต้องการความไม่ยุ่งยาก การได้รับใบเสนอราคาเทอม CIF (Cost, Insurance and Freight) ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด เพราะเป็นราคาที่รวมทุกอย่างมาให้จนถึงท่าเรือปลายทาง ทั้งค่าสินค้า, ค่าประกัน, และค่าเรือ แต่ภายใต้ความสะดวกสบายนี้ มีรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ “ประกันภัย” ที่ผู้นำเข้าจำเป็นต้องตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมจริงๆ
บทความนี้จะวิเคราะห์เทอม CIF จากมุมมองของ “ผู้นำเข้า” เพื่อให้คุณเข้าใจข้อดีและจุดที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ
ข้อดีของการใช้เทอม CIF สำหรับผู้นำเข้า (Advantages for the Importer)
- สะดวกสบายและครบวงจรที่สุด (สำหรับทางเรือ): นี่คือข้อได้เปรียบสูงสุด ผู้นำเข้าไม่ต้องวุ่นวายกับการหาเรือหรือซื้อประกันภัยด้วยตนเอง ผู้ขายจัดการให้ทั้งหมด ทำให้กระบวนการจัดซื้อง่ายและตรงไปตรงมา
- ต้นทุนที่คาดการณ์ได้: ราคา CIF เป็นต้นทุนที่ชัดเจนในการนำสินค้ามาจนถึงท่าเรือปลายทาง ช่วยให้การคำนวณต้นทุนรวม (Landed Cost) และการตั้งราคาขายทำได้ง่าย
- มีหลักประกันพื้นฐาน: แตกต่างจาก CFR, การใช้เทอม CIF ทำให้ผู้นำเข้ามั่นใจได้ว่าสินค้ามีการทำประกันภัยรองรับไว้อย่างน้อยในระดับหนึ่ง ซึ่งช่วยป้องกันความเสียหายทางการเงินจากภัยพิบัติร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นกับเรือได้
ข้อเสียและ “จุดที่ต้องตรวจสอบ” ของเทอม CIF ที่ผู้นำเข้าต้องรู้ (Disadvantages and “Checkpoints” for the Importer)
- ระดับความคุ้มครองประกันภัยอาจไม่เพียงพอ (Insurance Coverage May Be Insufficient): นี่คือความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และสำคัญที่สุด! Incoterms 2020 กำหนดให้ผู้ขายทำประกันให้ใน ระดับขั้นต่ำคือ Institute Cargo Clauses (C)เท่านั้น ซึ่งคุ้มครองแค่ภัยร้ายแรงไม่กี่อย่าง และ ไม่คุ้มครอง ความเสียหายที่พบบ่อย เช่น สินค้าเสียหายจากสภาพอากาศที่เลวร้าย, การกระแทก, การเปียกน้ำ, หรือการลักขโมย หากสินค้าของคุณมีมูลค่าสูงหรือมีความเปราะบาง ความคุ้มครองระดับนี้อาจไม่เพียงพออย่างยิ่ง
- ขาดการควบคุมสายเรือและตารางเวลา: ผู้ขายเป็นผู้เลือกสายการเดินเรือ ซึ่งมักจะเลือกตัวเลือกที่ประหยัดที่สุดสำหรับพวกเขา ซึ่งอาจส่งผลให้การขนส่งล่าช้ากว่าที่ควร
- ต้องเป็นผู้เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเอง (Must Handle Insurance Claims Yourself): แม้ผู้ขายจะเป็นผู้ซื้อประกันให้ แต่เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น ผู้นำเข้าคือผู้ที่ต้องรับภาระในการเตรียมเอกสารและดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (Claim) กับบริษัทประกันภัยด้วยตนเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจใช้เวลานานและซับซ้อน
ตัวอย่างสถานการณ์: ผู้นำเข้าเครื่องจักรเก่า
บริษัทในไทยนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตรมือสองจากประเทศญี่ปุ่น โดยตกลงซื้อขายภายใต้เงื่อนไข CIF Laem Chabang, Thailand
- กระบวนการ: ผู้ขายชาวญี่ปุ่นจัดการขนส่งและซื้อประกันภัย Clause C ให้ตามมาตรฐาน
- ปัญหาที่เกิดขึ้น: ระหว่างการเดินทางในทะเลจีนใต้ เรือเจอพายุไต้ฝุ่น ทำให้เรือโคลงอย่างรุนแรง เครื่องจักรที่ไม่ได้ยึดตรึงอย่างดีพอเกิดการกระแทกกันภายในท้องเรือ ทำให้ชิ้นส่วนสำคัญแตกหักเสียหาย
- ผลลัพธ์: เมื่อสินค้ามาถึงแหลมฉบัง ผู้นำเข้าชาวไทยพบว่าเครื่องจักรเสียหายและไม่สามารถใช้งานได้ จึงพยายามยื่นเรื่องเคลมประกัน แต่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยให้เหตุผลว่าความเสียหายจากการที่สินค้ากระแทกกันเองเนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย (Heavy Weather) ไม่ใช่ภัยที่ระบุไว้ในความคุ้มครองของ Clause C ผู้นำเข้าจึงต้องรับความเสียหายนั้นไว้เองทั้งหมด
Checklist สำหรับผู้นำเข้า: CIF เพียงพอสำหรับคุณหรือไม่?
- [ ] สินค้าของคุณขนส่งทางทะเลแบบไม่ใช้ตู้คอนเทนเนอร์ใช่หรือไม่?
- [ ] คุณได้ตรวจสอบแล้วหรือยังว่าระดับความคุ้มครองขั้นต่ำ (Clause C) นั้นเพียงพอต่อความเสี่ยงของสินค้าคุณ?
- [ ] หากไม่เพียงพอ คุณได้เจรจากับผู้ขายเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อขอให้อัปเกรดความคุ้มครองเป็น Clause A (All Risks) และยอมรับราคาที่อาจสูงขึ้นแล้วหรือยัง?
คำแนะนำ: หากผู้ขายไม่สามารถอัปเกรดประกันให้ได้ การพิจารณาเปลี่ยนไปใช้เทอม FOB แล้วคุณมาทำประกัน Clause A เอง อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูง