colorful cargo containers on ship near pier

ในโลกของการค้าระหว่างประเทศ ความชัดเจนคือหัวใจสู่ความสำเร็จ ทุกใบเสนอราคา (Quotation) และสัญญาซื้อขาย มักมีตัวย่อ 3 ตัวอักษร เช่น FOB, CIF, EXW กำกับอยู่เสมอ ซึ่งตัวย่อเหล่านี้ไม่ใช่เพียงศัพท์เทคนิค แต่เป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนด “ความรับผิดชอบ” “ความเสี่ยง” และ “ต้นทุน” ที่ซ่อนอยู่ในการขนส่งสินค้า การทำความเข้าใจพื้นฐานของ Incoterms จึงเป็นทักษะจำเป็นที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณรอดพ้นจากความผิดพลาดราคาแพงได้

บทความนี้จะปูพื้นฐานให้คุณเข้าใจถึงแก่นแท้ของ Incoterms ว่าคืออะไร, มีไว้ทำไม และเหตุใดมันจึงสำคัญต่อธุรกิจของคุณอย่างยิ่งยวด


Incoterms ไม่ใช่กฎหมาย แต่คือ ‘ข้อตกลงมาตราฐาน’ ของการค้าโลก

Incoterms (International Commercial Terms) คือชุดข้อตกลงมาตรฐานที่จัดทำโดยสภาหอการค้านานาชาติ (ICC) เพื่อใช้เป็น “สื่อกลาง” ให้ผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลกเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับเงื่อนไขการส่งมอบสินค้า โดยเวอร์ชันล่าสุดคือ Incoterms 2020

หน้าที่หลักของมันคือการระบุให้ชัดเจนว่า:

  1. ใคร รับผิดชอบค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง (Cost Allocation): ใครเป็นคนจ่ายค่าขนส่ง, ค่าประกัน, ค่าผ่านพิธีการศุลกากร?
  2. ความเสี่ยง โอนจากผู้ขายไปผู้ซื้อเมื่อใด (Risk Transfer): หากสินค้าเสียหายหรือสูญหายระหว่างทาง ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ณ จุดใด?

การมี Incoterms ช่วยลดปัญหาการตีความที่แตกต่างกันทางกฎหมายและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ทำให้การค้าโลกดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

ทำไม Incoterms ถึงสำคัญ? 4 เหตุผลที่ธุรกิจของคุณต้องใส่ใจ

การละเลยความสำคัญของ Incoterms เปรียบเสมือนการลงนามในสัญญาที่คุณยังไม่ได้อ่านรายละเอียดให้ถี่ถ้วน ซึ่งอาจนำมาสู่ผลกระทบใหญ่หลวง นี่คือ 4 เหตุผลหลักที่ธุรกิจของคุณต้องให้ความสำคัญ

  1. ควบคุมต้นทุนได้แม่นยำ: Incoterms ช่วยให้คุณคำนวณ “ต้นทุนรวม (Landed Cost)” ของสินค้าได้อย่างแท้จริง ราคาหน้าโรงงาน (EXW) ที่ดูเหมือนถูก อาจมีค่าใช้จ่ายแฝงด้านโลจิสติกส์ที่คุณต้องรับผิดชอบทั้งหมด ในขณะที่ราคาแบบส่งถึงที่ (DDP) แม้จะสูงกว่า แต่ก็อาจคุ้มค่ากว่าเมื่อรวมทุกอย่างแล้ว
  2. บริหารความเสี่ยงชัดเจน: หัวใจสำคัญคือ “จุดโอนความเสี่ยง” การรู้ว่าความเสี่ยงจะเปลี่ยนมือจากผู้ขายมาเป็นของคุณ ณ จุดใด (เช่น เมื่อของขึ้นเรือ หรือเมื่อของถึงท่าเรือปลายทาง) จะทำให้คุณวางแผนการทำประกันภัยสินค้าได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที
  3. ลดข้อพิพาททางธุรกิจ: Incoterms คือข้อตกลงที่ชัดเจน ช่วยขจัดความคลุมเครือและป้องกันการโต้เถียงในภายหลังว่า “ใครควรจ่าย” หรือ “เป็นความรับผิดชอบของใคร” ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเวลาและรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจ
  4. เพิ่มความเป็นมืออาชีพ: การสื่อสารและเจรจาโดยใช้ Incoterms ได้อย่างถูกต้อง แสดงให้คู่ค้าเห็นว่าคุณมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการค้าระหว่างประเทศ สร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มความได้เปรียบในการต่อรอง

ตัวอย่างง่ายๆ: ภาพรวมความแตกต่างของ Incoterms

เพื่อให้เห็นภาพว่า Incoterms สร้างความแตกต่างได้อย่างไร ลองคิดว่าตอนนี้คุณเป็น ผู้นำเข้า สั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์จากโรงงานในเวียดนาม แบบไหนเหมาะกับคุณในตอนนี้

  • หากใช้เทอม EXW (Ex Works): คุณจะต้องรับผิดชอบไปรับสินค้า ณ หน้าโรงงาน ที่เวียดนาม และจัดการกระบวนการทั้งหมดต่อจากนั้น ทั้งการขนส่งในเวียดนาม, การส่งออก, การขนส่งข้ามประเทศ, การนำเข้า และการขนส่งในไทย
  • หากใช้เทอม FOB (Free On Board): ผู้ขายจะรับผิดชอบนำสินค้าไปส่งมอบให้ บนเรือ ที่คุณจองไว้ ณ ท่าเรือในเวียดนาม
  • หากใช้เทอม DDP (Delivered Duty Paid): ผู้ขายจะรับผิดชอบ ทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่ต้นทางจนกระทั่งสินค้าถูกส่งมาถึงโกดังของคุณในประเทศไทย พร้อมชำระภาษีนำเข้าให้เรียบร้อย

จะเห็นได้ว่าแม้จะเป็นสินค้าชนิดเดียวกัน แต่การเลือกใช้ Incoterm ที่ต่างกัน ส่งผลให้ภาระหน้าที่และต้นทุนของผู้ซื้อและผู้ขายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

สรุป

Incoterms 2020 คือเครื่องมือพื้นฐานแต่ทรงพลังอย่างยิ่งในการค้าระหว่างประเทศ การทำความเข้าใจภาพรวมและตระหนักถึงความสำคัญของมัน คือก้าวแรกที่จำเป็นสำหรับทุกธุรกิจที่ต้องนำเข้าส่งออก หากคุณเลือกใช้เทอมที่ถูกต้อง การทำการค้าระหว่างประเทศก็จะมีปัญหาและความเสี่ยงน้อยลง

©2025 exptblog.com | the logistics blog and podcast

CONTACT US

We're not around right now. But you can send us an email and we'll get back to you, asap.

Sending

Log in with your credentials

Forgot your details?