“ไม่ต้องครับ” และยังสามารถใช้ฟอร์มอีเพื่อได้สิทธิพิเศษทางภาษีได้แบบไม่แตกต่างอีกต่างหาก
คุณใช้ชื่อของคุณเองนี่แหละ นามสกุลคุณ เลขบัตรประชาชนของคุณ ไปทำเรื่องนำเข้าสินค้าได้เลย กรมศุลกากรเขาอนุญาตให้บุคคลธรรมดานำเข้าของมาขายได้ ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายอะไร
แต่แม้การใช้ชื่อบุคคลธรรมดาอาจจะง่ายที่สุดแต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เมื่อคุณทำไปซักพักและลงตัวแล้ว คุณควรจะไปเปลี่ยนไปใช้บริษัทในการนำเข้าแทนจะดีกว่า เพราะมันจะมีเรื่องการจัดการรายได้อีก เพียงแต่วันที่เริ่มต้นการใช้บุคคลธรรมดาในการนำเข้าเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่าเท่านั้นเอง
นำเข้าในนาม “บุคคลธรรมดา”
นี่คือการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ แค่ใช้ชื่อเรานี่แหละ
- ข้อดี
- เร็ว: วันนี้คุณอยากสั่งของ พรุ่งนี้คุณสั่งได้เลย ไม่ต้องไปรอเอกสารตั้งบริษัทอะไรให้วุ่นวาย
- ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน: จุดนี้สำคัญมาก คุณไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับ “ค่าทำบัญชี” รายเดือน เดือนละหลายพันบาทที่คุณต้องจ่ายแน่ๆ ถ้าคุณมีบริษัท
- ข้อเสีย
- ความน่าเชื่อถือ: เวลาคุณไปคุยกับโรงงานจีน การใช้ชื่อ “นายสมชาย” กับชื่อ “บริษัท สมชาย จำกัด” คุณว่าอันไหนดูมีน้ำหนักมากกว่ากัน? ความน่าเชื่อถือก็เป็นเรื่องสำคัญครับ
- ปัญหาเรื่องภาษี (นี่เรื่องใหญ่):
- VAT 7% ที่จ่ายไปตอนนำเข้า: ถ้าคุณเป็นบุคคลธรรมดา เงิน 7% ที่คุณจ่ายให้ศุลกากรไป คุณจะเอามันไปทำอะไรต่อไม่ได้เลย มันจะกลายเป็น “ต้นทุน” ที่จมอยู่ในสินค้าของคุณทันที
- ภาษีเงินได้: พอคุณเริ่มขายดีมีกำไร กำไรทั้งหมดจะถูกเอาไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งอัตราภาษีมันเป็นขั้นบันได สูงสุด 35%
นำเข้าในนาม “บริษัท” (นิติบุคคล)
นี่คือสเต็ปต่อไปสำหรับคนที่มองการณ์ไกลและต้องการเติบโต
- ข้อดีของมันคืออะไร?
- ดูเป็นมืออาชีพ: การมีคำว่า “บริษัท” หรือ “จำกัด” ต่อท้ายชื่อมันสร้างความน่าเชื่อถือได้ทันที ทั้งกับคู่ค้า, ธนาคาร, และลูกค้าของคุณเอง
- จัดการภาษีได้ดีกว่า: นี่คือเหตุผลหลักที่คนจดบริษัทกัน
- VAT 7% ที่จ่ายไปตอนนำเข้า: คุณสามารถเอามันมา “หักลบ” กับภาษีขาย 7% ที่คุณเก็บจากลูกค้าได้ หรือที่เรียกว่า “เครดิตภาษี” ซึ่งมันช่วยลดต้นทุนสินค้าของคุณได้ทางตรงเลยครับ
- ภาษีเงินได้: บริษัทจะเสียภาษีเงินได้จากกำไรในอัตราที่ต่ำกว่าบุคคลธรรมดามาก (สูงสุดแค่ 20%) ทำให้เมื่อคุณกำไรเยอะๆ คุณจะเหลือเงินในกระเป๋ามากกว่า
- ขอสินเชื่อง่ายกว่า: การจะไปขอสินเชื่อจากธนาคาร หรือหาคนมาร่วมลงทุน การมีบริษัทมันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเยอะครับ
- แล้วข้อเสียล่ะ?
- มีต้นทุนคงที่: คุณต้องมี “ค่าทำบัญชีรายเดือน” ที่ต้องจ่ายทุกเดือน ไม่ว่าเดือนนั้นคุณจะขายของได้หรือไม่ก็ตาม นี่คือภาระที่คุณต้องแบกรับ
- ขั้นตอนยุ่งยาก: ตอนเริ่มต้นจดทะเบียนและตอนปิดบัญชีปลายปีมันมีเอกสารและขั้นตอนที่ต้องจัดการพอสมควร
คำแนะนำของผมคือ ในช่วงเริ่มต้น (ล็อตที่ 1-3) ให้คุณนำเข้าในนาม “บุคคลธรรมดา” ไปก่อน
ไม่ต้องไปคิดเรื่องจดบริษัทให้ปวดหัวครับ! เป้าหมายของคุณตอนนี้มีแค่ข้อเดียวคือ “พิสูจน์ให้ได้ว่าสินค้าที่คุณเลือกมามันขายได้จริง”
ลืมเรื่องภาษีที่เสียเปรียบไปก่อน ลืมเรื่องความน่าเชื่อถือไปก่อน ตอนนี้คุณต้องโฟกัสแค่การขายของล็อตแรกให้หมดและทำให้มัน “คุ้มทุน” ให้ได้ อย่าเพิ่งสร้างภาระ “ค่าทำบัญชี” เดือนละหลายพันบาท ในตอนที่คุณยังไม่รู้เลยว่าเดือนนี้จะมีรายได้เข้ามาเท่าไหร่ แลการยกเลิกบริษัทมันก็มีค่ายกเลิกอีกนะ
แล้วเมื่อไหร่ถึงจะถึงเวลาจดบริษัท?
ให้คุณดูสัญญาณพวกนี้ครับ:
- คุณเริ่มมียอดขายที่ “นิ่ง” และ “สม่ำเสมอ” แล้ว
- ยอดขายเริ่มสูง กำไรเริ่มมาก
- คุณต้องการจะสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง และต้องไปดีลกับคู่ค้าหรือห้างร้านที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง
สรุปง่ายๆ ก็คือ… การเลือกมันขึ้นอยู่กับ “จังหวะ” ของธุรกิจคุณ เริ่มต้นด้วยความคล่องตัวแบบบุคคลธรรมดาเพื่อทดลองตลาด เมื่อเจอทางที่ใช่และเริ่มมีรายได้ที่มั่นคงแล้ว ค่อยขยับขยายไปสู่การเป็นบริษัทเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนครับ